อาการปวดหลัง ปวดคอ เจ็บเข่า หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ล้วนเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน หลายคนเลือกกายภาพบำบัดเป็นทางออกในการฟื้นฟูร่างกายโดยไม่ต้องพึ่งยา หรือผ่าตัด แต่การจะได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการทำกายภาพบำบัดนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การรักษาเท่านั้น แต่ ขึ้นอยู่กับการเลือกคลินิกที่ปลอดภัย และได้มาตรฐาน
สำหรับผู้ที่อยู่ในภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีทั้งคนไทย และชาวต่างชาติพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ตัวเลือกของคลินิกกายภาพบำบัดมีอยู่หลากหลาย แต่จะเลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับอาการ ปลอดภัย ไม่เสียเงินเปล่า และเห็นผลจริง?

กายภาพบำบัด คืออะไร?
กายภาพบำบัด (Physical Therapy) คือศาสตร์แห่งการฟื้นฟูร่างกายที่มุ่งเน้นให้บุคคลกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และลดความเจ็บปวด โดยไม่ใช้ยา ไม่พึ่งการผ่าตัด และไม่ใช้วิธีการรุกรานร่างกาย
กายภาพบำบัดใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น
- การออกกำลังกายบำบัด (Therapeutic Exercises): การบริหารร่างกายเฉพาะส่วน เช่น ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เสริมความแข็งแรง และปรับสมดุลกล้ามเนื้อ
- เทคนิคบำบัดด้วยมือ (Manual Therapy): การนวด ดัด ขยับข้อ หรือคลายกล้ามเนื้อโดยนักกายภาพบำบัด
- การใช้เครื่องมือกายภาพ เช่น
- อัลตราซาวด์บำบัด (Ultrasound Therapy): คลื่นเสียงความถี่สูงช่วยคลายกล้ามเนื้อ และลดอาการอักเสบ
- เลเซอร์บำบัด (Laser Therapy): ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ลดการอักเสบ
- กระแสไฟฟ้ารักษา (TENS/IFC): บรรเทาอาการปวด หรือกระตุ้นกล้ามเนื้อ
- การฝึกการเคลื่อนไหว และ การฝึกการทรงตัว เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพโดยรวม
กายภาพบำบัดไม่เพียงช่วยรักษาอาการปวด หรือบาดเจ็บ แต่ยังช่วย “ป้องกัน” การบาดเจ็บซ้ำ และชะลอความเสื่อม ของระบบกล้ามเนื้อ กระดูก และประสาท โดยเน้นให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มศักยภาพ
กายภาพบำบัดเหมาะกับใคร?
กายภาพบำบัดสามารถใช้ได้กับคนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีอาการปวดเฉียบพลัน เรื้อรัง หรือกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายหลังการรักษาอื่น ๆ โดยกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะกับกายภาพบำบัด ได้แก่
- ผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง เช่น
- ปวดหลังส่วนล่าง (Low Back Pain)
- ปวดคอ ไหล่ ข้อศอก หรือข้อมือ
- ปวดเข่า ข้อเท้า หรือสะโพก
- หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือข้อเสื่อม
- ผู้มีอาการ ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) กลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่มีอาการตึง ชา ปวดคอ บ่า ไหล่จากการนั่งนาน พฤติกรรมซ้ำซาก หรือท่าทางไม่เหมาะสม ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยกายภาพบำบัดแบบยืดเหยียดคลายกล้ามเนื้อ และแก้ท่าทางการทำงาน
- ผู้ป่วยโรคทางระบบประสาท
- อัมพฤกษ์ อัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- ผู้ป่วยพาร์กินสัน หรือปลายประสาทอักเสบ
- ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น พูดชัดขึ้น และใช้ชีวิตอย่างพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น
- ผู้ป่วยหลังผ่าตัดกล้ามเนื้อหรือข้อ เช่น หลังผ่าตัดเข่า สะโพก ไหล่ เอ็นไขว้หน้า หรือกระดูกหัก โดยกายภาพบำบัดจะช่วยลดอาการปวด และบวม เพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว และฝึกเดินใหม่อย่างปลอดภัย
- ผู้ที่บาดเจ็บจากกีฬา นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายแล้วได้รับบาดเจ็บ เช่น ข้อพลิก กล้ามเนื้อฉีก เส้นเอ็นอักเสบ ซึ่งต้องได้รับการฟื้นฟูแบบเฉพาะทาง เพื่อกลับไปเล่นกีฬาได้อย่างมั่นใจ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
- ผู้สูงอายุ กายภาพบำบัดช่วยป้องกันการล้ม เสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อ พัฒนาสมดุลร่างกาย และเพิ่มคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในผู้สูงวัยที่มีปัญหาเข่าเสื่อม หรือเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก

ทำไมการเลือกคลินิกถึงสำคัญ?
กายภาพบำบัดเป็นกระบวนการรักษาที่เน้นการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายอย่างมีเป้าหมายชัดเจน และต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางของนักกายภาพบำบัดควบคู่กับอุปกรณ์ และเทคนิคที่เหมาะสม ดังนั้น การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน จึงเป็นก้าวแรกที่จะกำหนดว่า การรักษาของคุณจะได้ผล หรือเสียเปล่า
ต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทำไมคุณควรให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิกอย่างถี่ถ้วน
- ได้รับการดูแลจากนักกายภาพบำบัดวิชาชีพ คลินิกที่ดีต้องมี นักกายภาพบำบัดที่ได้รับใบประกอบวิชาชีพ จากสภากายภาพบำบัด ซึ่งรับรองว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ ความสามารถ และปฏิบัติตามจรรยาบรรณ เพราะการทำกายภาพบำบัดกับบุคคลที่ไม่มีใบอนุญาต หรือไม่มีความรู้เฉพาะทาง อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เช่น
- ใช้เทคนิคไม่เหมาะสม
- ทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำ
- ไม่สามารถวินิจฉัยอาการที่แท้จริงได้
- ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เครื่องมือกายภาพบำบัด เช่น เครื่องอัลตราซาวด์ เลเซอร์ เครื่องดึงหลัง เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ต้องได้รับการสอบเทียบ ดูแลรักษา และใช้โดยผู้มีความชำนาญและคลินิกที่มีมาตรฐาน จะมีการ
- ตรวจสอบสภาพเครื่องมือสม่ำเสมอ
- ใช้อุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัย
- อธิบายให้คนไข้เข้าใจวิธีใช้งานก่อนเริ่มการรักษา
- ในทางกลับกัน คลินิกที่ไม่มีมาตรฐานอาจใช้เครื่องมือที่เก่า ไม่มีการบำรุงรักษา และทำให้ผู้ป่วยได้รับผลกระทบเช่นผิวไหม้ กล้ามเนื้อหดเกร็ง หรือไม่เกิดผลใด ๆ เลย
- แผนการรักษาออกแบบเฉพาะบุคคล เพราะร่างกายของแต่ละคนมีปัญหา และเป้าหมายที่แตกต่างกัน การรักษาแบบสำเร็จรูป หรือใช้วิธีเดียวกับผู้ป่วยทุกราย เป็นแนวทางที่ไม่เหมาะสม โดยคลินิกที่ดี จะมีการ
- ซักประวัติ และประเมินร่างกายโดยละเอียด
- วิเคราะห์สาเหตุของอาการ ไม่เพียงแต่รักษาที่ปลายเหตุ
- วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เช่น จำนวนครั้ง เป้าหมาย และการติดตามผล
- เมื่อมีแผนการที่เหมาะสม โอกาสในการฟื้นตัวก็จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
- ลดโอกาสการรักษาผิดวิธี หรือบาดเจ็บซ้ำ หากคลินิกไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือขาดการประเมินอย่างถูกต้อง อาจทำให้
- รักษาผิดจุด เช่น ใช้เทคนิคคลายกล้ามเนื้อ ทั้งที่ต้นเหตุคือเส้นประสาท
- ไม่เข้าใจข้อจำกัดของผู้ป่วย เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ตั้งครรภ์ หรือผู้ป่วยโรคประจำตัว
- ใช้แรงดัด หรือยืดผิดท่าจนบาดเจ็บซ้ำ
- ความเข้าใจทางกายวิภาคศาสตร์ และพยาธิสภาพ คือหัวใจของกายภาพบำบัด คลินิกที่ดีต้องมีทีมงานที่สามารถวิเคราะห์ และป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ได้
- มั่นใจได้ว่าการรักษาเห็นผลจริง ไม่เสียเงินเปล่า การทำกายภาพบำบัดมักต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง การเสียเงินและเวลาไปกับการรักษาที่ไม่ได้ผลจึงเป็นเรื่องใหญ่มาก ทั้งในแง่เศรษฐกิจและสุขภาพจิต โดยคลินิกที่มีมาตรฐานจะ
- ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เช่น วัดค่าความเคลื่อนไหว วัดระดับความเจ็บปวด
- ปรับแผนการรักษาหากอาการไม่ดีขึ้น
- แนะนำวิธีดูแลตนเองที่บ้านเพื่อเสริมผลลัพธ์
- ในขณะที่คลินิกที่ไม่มีคุณภาพ อาจยืดเวลาการรักษาโดยไม่จำเป็น หรือทำซ้ำโดยไม่มีแผนที่ชัดเจน
ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกคลินิกกายภาพบำบัดในภูเก็ต
ใบอนุญาตถูกต้อง และมีนักกายภาพบำบัดวิชาชีพ
คลินิกต้องจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และมี นักกายภาพบำบัดที่ได้รับใบประกอบโรคศิลปะ จากสภากายภาพบำบัด โดยเฉพาะในภูเก็ต ซึ่งมีทั้งคลินิกของรัฐ เอกชน และ Wellness center ต้องตรวจสอบว่ามีใบอนุญาตแสดงอย่างชัดเจน
วิธีตรวจสอบ
- ดูจากเว็บไซต์ของสภากายภาพบำบัด
- ตรวจสอบป้ายชื่อ และใบอนุญาตในสถานที่จริง
มีการประเมินก่อนเริ่มการรักษา
คลินิกที่ดีจะ ไม่รีบรักษาโดยไม่มีการซักประวัติ และตรวจร่างกาย แผนการบำบัดควรถูกออกแบบเฉพาะบุคคล ไม่ใช่สูตรสำเร็จเหมือนกันทุกคน เช่น คนปวดหลังจากยกของกับคนที่เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ต้องใช้วิธีต่างกัน
อุปกรณ์ และสิ่งแวดล้อมได้มาตรฐาน
- มีเครื่องมือกายภาพ เช่น อัลตราซาวด์, เลเซอร์, เครื่องดึงคอ/หลัง
- มีเตียงปรับระดับ, ลูกบอล, ยางยืด
- สถานที่สะอาด ปลอดภัย โปร่งโล่ง
- มีการฆ่าเชื้อ และดูแลความสะอาดอย่างต่อเนื่อง
มีแผนการรักษาอย่างเป็นระบบ
- แผนการรักษาระยะสั้น-ระยะยาว
- เป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ลดปวด เพิ่มการเคลื่อนไหว
- การติดตามผล เช่น ประเมินอาการทุก 3 ครั้ง
- ให้คำแนะนำการดูแลตัวเองที่บ้าน
ความชัดเจนเรื่องราคา และคอร์ส
- ค่ารักษาแต่ละครั้งราคาเท่าไหร่
- มีคอร์สเหมา หรือไม่
- ใช้สิทธิ์ประกันสังคม หรือประกันสุขภาพได้ไหม
- มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง หรือไม่
ความสะดวกด้านการเดินทาง และบริการ
- อยู่ใกล้บ้าน/ที่ทำงาน/โรงแรม
- มีที่จอดรถ หรือไม่
- เปิดบริการวันเสาร์–อาทิตย์ หรือหลังเลิกงานไหม
- มีบริการถึงบ้าน หรือไม่ (Home visit)

เปรียบเทียบคลินิกกายภาพบำบัดแต่ละประเภท
การเข้ารับบริการกายภาพบำบัดในปัจจุบันมีตัวเลือกหลากหลาย ตั้งแต่คลินิกเอกชนที่เน้นความรวดเร็วทันสมัย ไปจนถึงศูนย์ชุมชนที่ราคาย่อมเยา และศูนย์ Wellness & Resort ที่ผสมผสานการฟื้นฟูร่างกายกับไลฟ์สไตล์พักผ่อน โดยแต่ละรูปแบบมี ข้อดี–ข้อจำกัด ที่แตกต่างกัน ดังนี้
| ประเภท | ข้อดี | ข้อจำกัด |
| คลินิกเอกชน | – บริการรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน– มีเครื่องมือทันสมัย เช่น Shockwave, อัลตราซาวด์, เลเซอร์– มีนักกายภาพบำบัดเฉพาะทาง | – ค่ารักษาค่อนข้างสูงกว่าศูนย์ของรัฐ– อาจไม่มีสิทธิ์เบิกจ่ายจากบัตรทองหรือประกันสังคม |
| ศูนย์สาธารณสุขชุมชน | – ราคาเป็นมิตร เข้าถึงได้สำหรับประชาชนทั่วไป– ใช้สิทธิ์บัตรทอง (หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ได้– มีบริการกายภาพขั้นพื้นฐาน | – คิวอาจยาว ต้องจองล่วงหน้า– เปิดทำการเฉพาะวันราชการ– อุปกรณ์อาจไม่ทันสมัยเท่าเอกชน |
| Wellness & Resort | – บรรยากาศดี ผ่อนคลาย– รวมโปรแกรมฟื้นฟูกับการท่องเที่ยว เช่น สปา โยคะ อาหารสุขภาพ– เหมาะสำหรับต่างชาติ ผู้มีรายได้สูง หรือผู้ต้องการพักฟื้นหลังผ่าตัด |
กายภาพบำบัดแบบไหนที่คุณต้องการ?
การเลือกประเภทของกายภาพบำบัดให้เหมาะสมกับอาการ และเป้าหมายของคุณเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละแบบมีเทคนิค วิธีการ และจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 5 รูปแบบหลัก ดังนี้
แบบ Manual Therapy (นักกายภาพใช้มือ)
เป็นเทคนิคที่นักกายภาพบำบัดใช้มือ โดยตรงในการ
- ขยับข้อต่อ (Joint mobilization)
- คลายกล้ามเนื้อที่เกร็ง หรือตึง (Soft tissue release)
- นวดบำบัด หรือกระตุ้นกล้ามเนื้อเฉพาะจุด
เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง
- ผู้มีภาวะข้อติด เช่น ข้อไหล่ติด
- ผู้ป่วยหลังการอักเสบเฉียบพลัน
ข้อดี รู้สึกผ่อนคลายทันที เห็นผลเร็วในด้านความยืดหยุ่น ลดอาการปวดเฉพาะจุดได้ดี
แบบใช้เครื่องมือช่วย (Modalities)
เป็นการใช้ เครื่องมือทางกายภาพ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการฟื้นฟู เช่น
- อัลตราซาวด์บำบัด (Ultrasound Therapy): ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- ช็อคเวฟ (Shockwave Therapy): คลื่นกระแทกแรงสูง ใช้รักษากล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง เอ็นอักเสบ จุดกดเจ็บ
- กระแสไฟฟ้าบำบัด (TENS, IFC): ช่วยลดอาการปวด หรือกระตุ้นกล้ามเนื้อในรายที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง
เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีภาวะอักเสบ เช่น เอ็นอักเสบ ไหล่ติด
- กลุ่มที่มีอาการปวดเรื้อรัง และการเคลื่อนไหวจำกัด
ข้อดี ลดอาการปวดได้รวดเร็ว ฟื้นฟูได้โดยไม่ต้องเคลื่อนไหวมาก เหมาะกับผู้เริ่มต้น หรืออ่อนแรง
โปรแกรมฟื้นฟูหลังผ่าตัด
เป็นโปรแกรมเฉพาะสำหรับผู้ที่ ผ่าตัดข้อ กล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็น เช่น
- ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า
- ผ่าตัดหมอนรองกระดูก
- ผ่าตัดกระดูกหัก/ซ่อมเส้นเอ็น ACL
เป้าหมายของโปรแกรม
- ลดบวม ลดปวด
- เพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อ
- ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และการทรงตัว
- ป้องกันพังผืด และข้อยึดติด
ข้อดี ช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันเร็วขึ้น ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กล้ามเนื้อฝ่อ หรือข้อยึดติด
โปรแกรมกายภาพสำหรับผู้สูงอายุ
เน้นการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของผู้สูงวัย เช่น
- เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และข้อ
- ป้องกันการหกล้ม
- เพิ่มสมดุล (Balance training)
- ฝึกเดิน หรือใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
เหมาะกับใคร
- ผู้สูงอายุที่เริ่มเคลื่อนไหวไม่คล่อง
- ผู้ที่ล้มบ่อย หรือมีภาวะข้อเสื่อม
ข้อดี ลดความเสี่ยงการหกล้ม เพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน และชะลอความเสื่อมของร่างกาย
โปรแกรมสำหรับนักกีฬา (Sports Rehab)
เน้นฟื้นฟูแบบเฉพาะกิจหลังการบาดเจ็บจากกีฬา หรือใช้เป็นโปรแกรมเสริมความแข็งแรงเพื่อ ป้องกันการบาดเจ็บ
ตัวอย่างการใช้งาน
- ฟื้นตัวจากข้อเท้าพลิก กล้ามเนื้อฉีก เอ็นอักเสบ
- ป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ เช่น Runner’s knee, Tennis elbow
- ปรับสมดุลร่างกายให้เหมาะกับกีฬาแต่ละประเภท
ข้อดี ช่วยให้นักกีฬากลับไปซ้อม หรือแข่งขันได้เร็ว และปลอดภัย พร้อมพัฒนาองค์ประกอบด้านความฟิตที่เหมาะกับกีฬานั้น ๆ
เคล็ดลับก่อนเข้ารับการรักษากายภาพบำบัด
เพื่อให้การทำกายภาพบำบัดเห็นผลได้ดี และปลอดภัย คุณควรเตรียมตัวล่วงหน้าดังนี้
- เตรียมผลตรวจ หรือฟิล์มเอกซเรย์ถ้ามี
- หากเคยผ่านการตรวจ MRI, X-ray หรือ CT Scan ควรนำผล หรือภาพถ่ายมาด้วย
- ช่วยให้นักกายภาพเข้าใจอาการได้ลึกขึ้น วางแผนการบำบัดได้แม่นยำ ไม่ซ้ำซ้อน
- ใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ เคลื่อนไหวง่าย
- เสื้อยืด กางเกงวอร์ม หรือเลกกิ้ง
- หลีกเลี่ยงกางเกงยีนส์ หรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น เพราะอาจรบกวนการเคลื่อนไหว หรือการตรวจร่างกาย
- สอบถามนักกายภาพบำบัดให้ชัดเจน
- ถามให้เข้าใจถึง เป้าหมายของการรักษา
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการ ความเจ็บ ประวัติการรักษาอย่างตรงไปตรงมา
- สื่อสารถึงความกลัว หรือความไม่สบายใจ เพื่อให้ปรับแผนได้เหมาะสม
- อย่าอดอาหารมาก่อนทำกายภาพ
- การบำบัดบางประเภท เช่น การออกกำลังกาย หรือเครื่องกระตุ้น อาจทำให้เหนื่อย หรืออ่อนแรง
- ควรรับประทานอาหารเบา ๆ ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายพร้อมใช้งาน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำกายภาพบำบัด
ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นการรักษา หรืออยู่ในกระบวนการฟื้นฟูแล้ว หลายคนยังมีคำถาม และข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำกายภาพบำบัดอยู่เสมอ ด้านล่างนี้ คือ คำถามยอดฮิต พร้อมคำอธิบายที่เข้าใจง่าย และครอบคลุม
Q: ต้องทำกายภาพบำบัดกี่ครั้งถึงจะหาย?
A: ขึ้นอยู่กับประเภทของอาการ ความรุนแรง และเป้าหมายของการฟื้นฟู เช่น
- กรณีปวดกล้ามเนื้อจากออฟฟิศซินโดรมทั่วไป → อาจดีขึ้นใน 3–5 ครั้ง
- กรณีเอ็นอักเสบเรื้อรัง หรือข้อเสื่อม → อาจต้องใช้เวลา 6–10 ครั้ง
- กรณีฟื้นฟูหลังผ่าตัด → อาจใช้เวลา มากกว่า 12 ครั้ง หรือเป็นรายเดือน
นักกายภาพบำบัดจะประเมินเป็นรายบุคคล และปรับแผนตามพัฒนาการของผู้ป่วย
Q: การทำกายภาพบำบัดเจ็บไหม?
A: โดยทั่วไปแล้ว ไม่ควรรู้สึกเจ็บ ในระหว่าง หรือหลังการรักษา อาจมีความรู้สึก
- ตึงเล็กน้อยจากการยืดกล้ามเนื้อ
- ล้ากล้ามเนื้อหากมีการออกกำลังกายเฉพาะจุด
- อุ่น หรือรู้สึกแปลกใหม่ในบริเวณที่ได้รับการบำบัด
หากมีอาการเจ็บ เกินระดับที่ทนได้ หรือปวดมากผิดปกติ ควรแจ้งนักกายภาพบำบัดทันที เพื่อปรับเทคนิคหรือความเข้มข้นของการบำบัดให้เหมาะสม
Q: ถ้าทำกายภาพแล้วอาการแย่ลง ต้องทำอย่างไร?
A: หากรู้สึกว่าอาการแย่ลง เช่น
- ปวดมากกว่าเดิม
- บวม หรือขยับได้น้อยลง
- ชา หรืออ่อนแรงใหม่ ๆ
ให้รีบแจ้งนักกายภาพบำบัดทันที เพื่อ
- ประเมินว่าเกิดจากกระบวนการฟื้นฟู หรือเป็นสัญญาณของปัญหาใหม่
- ปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน หรืออาการซ้ำซ้อน
Q: ทำกายภาพแล้วจะกลับมาเป็นอีกไหม?
A: มีโอกาสเป็นได้ หาก
- ไม่ปรับพฤติกรรมที่เป็นต้นเหตุ เช่น นั่งผิดท่า นอนผิดท่า ยกของหนัก
- ไม่ออกกำลังกาย หรือดูแลกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง
- มีโรคประจำตัวที่มีผลต่อระบบกล้ามเนื้อ เช่น เบาหวาน ภาวะข้อเสื่อม
ทางออก นักกายภาพจะสอนท่าออกกำลังกายที่คุณสามารถทำเองได้ที่บ้าน และให้คำแนะนำในการปรับพฤติกรรม เพื่อลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
Q: ถ้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว ยังต้องทำต่อไหม?
A: ถึงแม้อาการจะดีขึ้นในระยะสั้น แต่หากยังไม่ได้ทำครบตามแผนการฟื้นฟูทั้งหมด ร่างกายอาจยัง
- ไม่ฟื้นฟูสมรรถภาพเต็มที่
- ไม่เสริมความแข็งแรงเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
จึงแนะนำให้ ทำจนครบคอร์สที่นักกายภาพวางแผนไว้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
Q: สามารถทำกายภาพบำบัดด้วยตัวเองที่บ้านได้ไหม?
A: สามารถทำได้ บางส่วน เช่น
- ท่ายืดเหยียด
- ท่าออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อ
- การใช้ความร้อนเย็นบรรเทาอาการ
แต่สำหรับการรักษาเฉพาะด้าน เช่น การปรับข้อ เทคนิคมือ หรือการใช้อุปกรณ์พิเศษ ควรได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย และเห็นผลชัดเจน
Q: กายภาพบำบัดใช้สิทธิ์อะไรได้บ้าง?
A: ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลที่เข้ารับบริการ
- ศูนย์ของรัฐ: ใช้ได้กับบัตรทอง (สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ), ประกันสังคม, สิทธิข้าราชการ
- คลินิกเอกชน: บางแห่งรับสิทธิประกันสุขภาพเอกชน หรือประกันกลุ่ม แต่หลายแห่งต้องจ่ายเอง
- Wellness Resort: โดยทั่วไปไม่ครอบคลุมสิทธิ์ของรัฐ มักเป็นบริการแบบจ่ายตรง
ควรสอบถามก่อนเข้ารับบริการทุกครั้งเพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
ทำไมต้องเลือกกายภาพบำบัดที่ ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก?
เมื่อพูดถึงการเลือกคลินิกกายภาพบำบัดที่ให้ทั้งความ ปลอดภัย เห็นผลไว และคุ้มค่า ในจังหวัดภูเก็ต “ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก” คือหนึ่งในตัวเลือกที่โดดเด่นและเชื่อถือได้ ด้วยจุดเด่นหลายประการที่ตอบโจทย์ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ดังนี้
- ทีมกายภาพบำบัดมืออาชีพ ใบประกอบวิชาชีพครบ คลินิกมีนักกายภาพบำบัดที่จบจากสถาบันชั้นนำ มีใบอนุญาตวิชาชีพถูกต้องจาก สภากายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย พร้อมประสบการณ์รักษาผู้ป่วยหลากหลายอาการ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ
- ประเมินอย่างละเอียดก่อนเริ่มทุกแผนการรักษา ที่คลินิกไม่มีการรักษาทันที โดยไม่ประเมิน ทุกเคสจะผ่านการวิเคราะห์อย่างลึกจากประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินท่าทาง (Postural assessment) เพื่อให้การรักษาแม่นยำและตรงจุด
- เครื่องมือทันสมัย ได้มาตรฐานระดับโรงพยาบาล มีอุปกรณ์ที่ใช้ได้รับการรับรองความปลอดภัย เช่น
– เครื่อง Shockwave Therapy
– อัลตราซาวด์บำบัด
– เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (TENS/IFC)
– เครื่องดึงคอ/ดึงหลัง
และมีการสอบเทียบอุปกรณ์ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข - แผนฟื้นฟูเฉพาะบุคคล ไม่ใช้สูตรสำเร็จ การรักษาจะถูกออกแบบเฉพาะบุคคล ทั้งในด้านเป้าหมาย เช่น ลดปวด เพิ่มการเคลื่อนไหว และการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงให้คำแนะนำการดูแลตัวเองที่บ้านเพื่อเร่งผลการฟื้นฟู
- สื่อสารได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เพื่อรองรับทั้งชาวไทยและ นักท่องเที่ยวต่างชาติหรือผู้พำนักระยะยาวในภูเก็ต ทีมงานสามารถให้คำแนะนำและรักษาเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างชัดเจน สร้างความมั่นใจตลอดกระบวนการ
- บรรยากาศสะอาด ผ่อนคลาย เดินทางสะดวก คลินิกตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกแก่การเดินทาง มีที่จอดรถสะดวก บรรยากาศภายในคลินิกสะอาด โปร่ง โล่ง มีมาตรฐานด้านสุขอนามัย และบริการเป็นกันเอง
- มีบริการ Home Visit สำหรับผู้ไม่สะดวกเดินทาง สำหรับผู้สูงวัย หรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก ภูเก็ต เมดิคอล คลินิกมีบริการ กายภาพบำบัดถึงบ้าน โดยนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ พร้อมอุปกรณ์พื้นฐาน
- โปร่งใสเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง แจ้งค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจนก่อนเริ่มการรักษาทุกครั้ง และมีทางเลือกทั้งจ่ายรายครั้ง รายคอร์ส หรือใช้สิทธิประกันสุขภาพเอกชน (เฉพาะบางแผน) เพื่อให้เหมาะกับงบประมาณของผู้ป่วยแต่ละราย
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- บริการดูแลสุขภาพครบวงจรที่ ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก
- ทำไมต้องเลือก ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก (Phuket medical clinic)
การเลือกคลินิกกายภาพบำบัดที่ดีในภูเก็ตไม่ใช่แค่เรื่องของระยะทาง หรือราคาถูก แต่คือการมองระยะยาวถึงคุณภาพการรักษา ความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่จะได้ หากคุณเลือกอย่างรอบคอบ คุณจะสามารถฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์
ช่องทางการติดต่อ
สาขาลากูน่า
- ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
- เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 22.00 น.
- สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
- แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me
สาขาในเมือง
- ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8 ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต 83000
- เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
- สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 096 228 2449
- แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmctown.youcanbook.me
สาขาหอนาฬิกา
- ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาหอนาฬิกา ตั้งอยู่ที่ 206/8 ถ. ภูเก็ต ต.ตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
- เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 12.00 – 20.00น. (ช่วงเเรก)
- สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 096 696 2449
- แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me
เอกสารอ้างอิง
- American Physical Therapy Association (APTA). How to Choose a Physical Therapist. Guidance for patients seeking safe and effective physical therapy. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.choosept.com/resources/detail/how-to-choose-a-physical-therapist
- World Physiotherapy (เดิมชื่อ WCPT). Safe and effective physiotherapy practice. Global policy standards for physical therapists. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://world.physio/policy/safe-effective-practice
- สมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย. ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทนักกายภาพบำบัดและแนวทางการประกอบวิชาชีพ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.physicaltherapy.or.th
- กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการกำกับดูแลคลินิกกายภาพบำบัด และการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://hss.moph.go.th
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). บทบาทของกายภาพบำบัดในระบบปฐมภูมิและการดูแลชุมชน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thaihealth.or.th
